เทศน์พระ

ชีวิตธรรม

๑๙ พ.ค. ๒๕๕๓

 

ชีวิตธรรม
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

เทศน์พระ วันที่ ๑๙ พฤษภาคม ๒๕๕๓
ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

โลกเป็นของร้อน เราอยู่กับโลกนี้เป็นของร้อน มนุษย์นี้เกิดมากับโลก ความเป็นไปนะ สมมุติโลก เราเกิดมากับโลก แต่เรามีอำนาจวาสนาไปกว่าเขา เพราะเราหนีจากโลกมาเห็นไหม โลกกับธรรม ถ้าเราหนีจากโลกมาแล้ว เราบวชมาแล้ว เราบวชมาเป็นพระ

ถ้าพูดถึงคนที่บวชใหม่จะอิ่มบุญ บวชใหม่ๆ มีความรื่นเริงมาก แต่เวลาจุดไฟ เวลาพลังงานมันเต็มที่ แต่เวลามันมอดไป มอดไป เห็นไหม คนหมดไฟ ฉะนั้นถ้าเราระลึกถึงขณะที่เราบวช เราบวชขึ้นมานี่จิตใจเราเป็นอย่างไร บวชมาแล้วเราจะมีจงใจของเรา มีความตั้งใจของเรา

ถ้าเรามีความตั้งใจของเราเห็นไหม ความตั้งใจตรงนี้มันค้านกับเขา เขาบอกว่าถ้ามีความตั้งใจ มีความจงใจนี่เป็นอัตตกิลมถานุโยค สิ่งนี้มันเป็นการบอกว่าคนที่ภาวนาเป็นหรือไม่เป็น ถ้าคนภาวนาเป็น.. แม้แต่เด็กทารกหัดเดิน มันก็ต้องมีความตั้งใจของมัน จิตของเราเวลาจะเกิดจะตาย มันมีแรงขับของมัน มันมีแรงขับอยู่แล้ว ความตั้งใจ ความจงใจมันถูกต้องหมดแหละ

แต่ความตั้งใจ ความจงใจ ถ้าคนภาวนาไม่เป็นเขาบอกว่าอันนี้มันเป็นอัตตกิลมถานุโยค ความตั้งใจ ความจงใจเป็นความผิด ถ้าเป็นความผิด เพราะอะไร เพราะไม่ต้องมีสิ่งใดเลยไง ถ้าไม่มีสิ่งใดเลยเราก็ไม่ต้องมาเป็นมนุษย์อย่างนี้หรอก ถ้าเราเกิดมาเป็นมนุษย์ แต่เรามีสติปัญญาของเรา เราได้มาบวชมาเรียน เพราะเรามีศรัทธาความเชื่อในองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเผยแผ่ธรรมมา วางธรรมไว้แล้ว ๒,๐๐๐ กว่าปี แต่มันชักเรียวแหลมไป

พอมันเรียวแหลมไปนี่ เราเกิดมาในสังคมก่อนที่หลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่น เขาอยู่กันตามประเพณีวัฒนธรรม มีความเชื่อความมีศรัทธานะ แต่ไม่มีความจริง ดูสิ เราไปร้านอาหาร ถ้วยชามมีหมดล่ะ แต่ไม่มีอาหารเลย มันว้าเหว่ขนาดไหน

นี่ก็เหมือนกัน ประเพณีวัฒนธรรมเขาก็เชื่อกันนะ เชื่อในพุทธศาสนา แต่มันไม่มีความจริงเพราะอะไร เพราะไม่มีคนได้สัมผัสจริง เรามีแต่แก้วน้ำเปล่าๆ เราไม่มีน้ำ แก้วน้ำมันใช้ประโยชน์ไม่ได้เลย แต่ถ้าเรามีแก้วน้ำด้วย มีน้ำด้วย แล้วได้ดื่มน้ำ มันเป็นการยืนยัน นี่สันทิฏฐิโก ปัจจัตตัง เวลามีครูบาอาจารย์ของเรารื้อฟื้นขึ้นมา ก่อนที่จะรื้อฟื้นขึ้นมานะ หลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่น เวลาท่านออกธุดงค์ใหม่ๆ ใครเจอใครเห็นก็วิ่งหนีหมด เพราะมันเป็นของประหลาดไง เป็นของที่โลกไม่เคยมี

แต่ในปัจจุบันนี้ ชั่วชีวิตของหลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่น หนึ่งชีวิตคน ตั้งแต่หลวงปู่แหวน ครูบาอาจารย์ หลวงปู่ขาว ในอีกชีวิตหนึ่ง แล้วหลวงตาเป็นรุ่นที่ ๓ พวกเรานี่เป็นรุ่นหลาน รุ่นเหลนไป สังคมมีความเชื่อถือศรัทธา พอสังคมมีความเชื่อถือศรัทธาเรื่องปัจจัยเครื่องอาศัยมันก็สะดวกสบายมากขึ้น ทำให้พวกเราอ่อนแอลงไปมากเลย

สมัยครูบาอาจารย์ สิ่งต่างๆ ต้องแสวงหากันเอง แล้วแสวงหาโดยที่เขาไม่รู้ ใครที่ธุดงค์ขึ้นไปทางเชียงใหม่ จะรู้ได้เลยว่าสิ่งใดที่ครูบาอาจารย์ท่านเคยผ่านไป เขาจะรู้ถึงวินัย เขาจะอุปัฏฐากเราด้วยความถูกต้อง แต่ถ้าสิ่งใดเราไม่เคยไปนะ ประเพณีวัฒนธรรมของเขาอย่างหนึ่งเลย ประเพณีวัฒนธรรมของเขา เวลาเขาจะบิณฑบาตตอนเช้าขึ้นมา เขาต้องตีกลอง ต้องตีสิ่งต่างๆ เพื่อบอกกัน เขาจะมารวมพล เพื่อไปใส่บาตรไปพร้อมกัน

แต่กรรมฐานเราทำอย่างนั้นไม่ได้ นั่นเป็นประเพณีวัฒนธรรมในโลกเป็นใหญ่ ถ้าโลกเป็นใหญ่ประเพณีวัฒนธรรมเป็นใหญ่ แต่ถ้าธรรมเป็นใหญ่ เราไปของเราเหมือนหน่อแรด เราไปตามอำนาจวาสนาบารมีของเรา เช้าออกมาบิณฑบาต ได้เวลาหรือไม่ได้เวลาของเรา แล้วแต่มันจะเป็นไป

ถ้ามีครูบาอาจารย์ไป เราจะเห็นว่าการดำรงชีวิตของเรา การประพฤติปฏิบัติของเรามันสะดวกสบายมากขึ้น นี้ความมากขึ้นนี้มันมาจากไหนล่ะ ก็มาจากครูบาอาจารย์ท่านวางธรรมและวินัย ท่านได้ออกประสบการณ์ ท่านได้ออกไปฝึกเขาไว้ เวลาเราผ่านไป เราเจออย่างนั้น ถ้าเราเจออย่างนั้นมันเป็นดาบสองคม ถ้าเขาเชื่อถือศรัทธาเราก็สะดวกสบายมากขึ้น พอสะดวกสบายมากขึ้นกิเลสเรามันก็อ่อนแอ มันอ่อนแอเพราะอะไร เพราะมันได้รับการประคบประหงม ความอ่อนแอของเรา สัจธรรมของเรา ธรรมวินัยของเรายิ่งอ่อนแอเข้าไปใหญ่เพราะเราทำสิ่งใดไม่ได้

แต่ถ้ามันไม่มีใครมาเชื่อถือศรัทธาเรา เราก็ต้องพยายามปฏิบัติของเราขึ้นมาเอง ก็เหมือนกับครูบาอาจารย์ที่ท่านออกแสวงหา ออกประพฤติปฏิบัติที่สังคมเขายังไม่เชื่อถือศรัทธา มีแต่ประเพณีวัฒนธรรม ไม่มีความจริง แต่ในปัจจุบันนี้ มันมีความจริงขึ้นมา ถ้ามีความจริงขึ้นมา มีความจริงขึ้นมาที่ไหนล่ะ ความจริงขึ้นมาจากครูบาอาจารย์ของเรา อย่างเช่น หลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่น ท่านประพฤติปฏิบัติของท่านมา แล้วท่านบอกแนวทางเรา การบอกแนวทางเราให้ตั้งสติ ให้ทำความจริงขึ้นมา

แต่ ! แต่ในสังคมทุกสังคม เหรียญมี ๒ ด้าน เวลาครูบาอาจารย์ประพฤติปฏิบัติขึ้นมา มันเป็นความจริงขึ้นมา ถ้าเรามีสติ มีปัญญา เรามีหลักเกณฑ์ของเรา เราจะมั่นคงของเรา แล้วเราพยายามจะฝึกปฏิบัติของเรา แต่ถ้าในปัจจุบันโลกเห็นไหม เพราะมีความเชื่อถือศรัทธา สิ่งต่างๆ ก็ได้แล้ว เหมือนเด็กๆ เลย เด็กๆ ถ้ามันได้ของเล่นของมันตามที่มันมีอำนาจวาสนาของมัน มันเห็นอะไรไม่มีคุณค่าทั้งนั้นล่ะ แต่เราเป็นคนทุกข์คนยาก เราจะมีของสักชิ้นสองชิ้น เราหามาเกือบเป็นเกือบตาย สิ่งนั้นจะมีคุณค่ามาก

นี่ก็เหมือนกัน เวลามีคนเชื่อถือศรัทธา มีคนเขามาอุปัฏฐากดูแลเรา สิ่งต่างๆ นี่เราอ่อนแอไปหมดเลย อะไรมันจะได้มาง่ายนะ แต่สมัยครูบาอาจารย์ได้มายาก เพราะเขาเห็นพระเห็นเจ้าและผู้ที่ปฏิบัติเขายิ่งตกใจ ยิ่งกลัวเพราะอะไร เพราะทำอะไรไม่เหมือนประเพณีวัฒนธรรมที่เขาอยู่กัน สิ่งต่างๆ นี้เขาต้องการให้มีพระ ให้มีที่พึ่งทางใจของเขา แต่ความคิดเห็นของเขา ความพึ่งทางใจในทางโลกไง

เหมือนเราเลย ถ้ามีพรรคมีพวกเราจะอบอุ่นหัวใจ แต่ถ้าเวลาเราอยู่คนเดียว เราจะเหงาหงอย แต่ในทางประพฤติปฏิบัตินะ เวลามีพรรคมีพวกครูบาอาจารย์ท่านบอกเลย มันเป็นกังวล เพราะมันมีภาระรับผิดชอบ แต่ถ้าเราอยู่ของเราคนเดียวนะ มันไม่มีกังวล

โลกกับธรรมนะมันขัดแย้งกันไปตลอด ถ้ามันสุขสบายทางโลก ในการประพฤติปฏิบัติ เราจะอ่อนแอ แต่ถ้ามันทุกข์ยากตั้งแต่ทางโลก ในการปฏิบัติของเราจะเข้มแข็ง ถ้าเข้มแข็งขึ้นมา จากข้างนอกเข้มแข็ง

สมัยครูบาอาจารย์ของเรา ท่านทำสิ่งใดท่านต้องให้ตั้งสติ แล้วต้องให้ฝึกฝนขึ้นมา ต้องเรียนรู้ว่าปฏิบัติเราต้องเข้าใจ แต่ในสมัยปัจจุบันพระปฏิบัตินี่ เรามองข้ามกันหมดแล้ว ว่าสิ่งนี้มันจืดชืด มันจืดชืดเพราะอะไร เพราะกาลเวลามันแบบว่าของมันจำเจ แต่สมัยครูบาอาจารย์ของเราสิ่งใดๆ มันมีแต่ฟอสซิล มันมีแต่สิ่งที่อยู่ในพระไตรปิฎก อยู่ในข้อปฏิบัติ แต่ผู้ปฏิบัติมันไม่มี

แต่พอเวลาครูบาอาจารย์ของเราปฏิบัติขึ้นมา มันเป็นสิ่งที่เหมือนกับของที่มันตายแล้ว มันกลับมีชีวิตขึ้นมา ของที่ตายแล้ว สิ่งที่มันเป็นทางวิชาการ สิ่งที่เราสัมผัสไม่ได้ แต่ครูบาอาจารย์ของเราท่านทำให้มันฟื้นมีชีวิตขึ้นมา วัตรปฏิบัติ.. วัด ด.เด็ก มันก็เป็นวัตถุก่อสร้าง วัตรปฏิบัตินะสำคัญ วัตรปฏิบัติของเราทำให้เราเข้มแข็งขึ้นมา ถ้าวัตรปฏิบัติของเราเข้มแข็งขึ้นมา สิ่งนี้มันบอกถึงว่าวัดไม่ร้าง เวลาครูบาอาจารย์ท่านบอกวัดร้าง เราบอกวัดร้างไม่มีพระเลย

แต่ถ้าเป็นพระเรา ข้อวัตรมันร้าง สิ่งต่างๆ ข้อวัตรมันร้างไป นี่ข้อวัตรต่างหากเห็นไหม เหมือนแก้วน้ำกับน้ำ ถ้าแก้วน้ำมันมีน้ำขึ้นมามันก็ชุ่มชื่นขึ้นมา ข้อวัตรปฏิบัติ หัวใจเรานี่มันว้าเหว่ หัวใจเรามันทุกข์ยาก ถ้าหัวใจมันทุกข์ยากมันมีข้อวัตรขึ้นมา มันจะมีความชุ่มชื้นของมันขึ้นมา มันฟื้นสิ่งที่ตายแล้วให้มันมีชีวิตชีวาขึ้นมา

ถ้าเรามีความจงใจ มีความตั้งใจตามธรรมครูบาอาจารย์ของเรา เราจะมีหลักใจของเรา ถ้ามีหลักใจของเรา หลักใจมันอยู่ที่ไหน..หลักใจมันอยู่ที่ข้อวัตรปฏิบัตินี่ไง ถ้าข้อวัตรปฏิบัติเราทำสมาธิไม่ได้ เราตั้งสติไม่ได้ ปัญญาเรามันไม่เกิดขึ้นมา แต่เรามีข้อวัตรปฏิบัติเป็นเครื่องอยู่ไง

เวลาครูบาอาจารย์ หลวงตาท่านบอก เวลาท่านบรรลุธรรม พอระลึกขึ้นมานี่มันเป็นความละเอียดอ่อนลึกซึ้ง แล้วจนขนาดที่ว่าความเปรียบเทียบกับทางโลก มันจะสอนใครได้หนอ.. มันจะสอนใครได้หนอ.. จนวางธุระนะ เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมก็เหมือนกัน จนพรหมต้องมาอาราธนา เพราะว่ามันจะสอนกันได้อย่างไร มันเป็นอีกมิติหนึ่ง มันเป็นธรรมะที่มันละเอียดลึกซึ้งมากขนาดนั้น จะสอนเขาได้อย่างไร จะสอนเขาได้อย่างไร

ถ้าเรามีวัตรปฏิบัติของเราขึ้นมา มันมีหลักเกณฑ์ของมันขึ้นมา ถ้ามีหลักมีเกณฑ์ขึ้นมา ดูสิ ขณะที่ทางโลกเขาต้องการพระที่ดี ต้องการพระที่เป็นที่พึ่งอาศัยของเขา แค่ถือศีลบริสุทธิ์ เราอยู่ในหลักในเกณฑ์เขาก็เคารพนบนอบแล้ว ถ้าเราไม่ทุศีล เราอยู่ในศีลในธรรม เขากราบไหว้ด้วยความสนิทใจของเขา

พอเขากราบไหว้ด้วยความสนิทใจของเขา แล้วหัวใจเราล่ะ หัวใจเราทุกข์ร้อนไหม ถ้าหัวใจเราทุกข์ร้อนนะ เขากราบไหว้ด้วยความพอใจของเขานะ เพราะเขาเห็นรูปแบบจากภายนอก เขาเห็นเราเป็นพระ สมมุติสงฆ์นี่เราเป็นพระ แล้วอยู่ในศีลในธรรมนี่เขาก็กราบไหว้ พระที่มีศีลมีธรรมนี่เป็นพระที่ดี

แต่ถ้าคุณธรรมในหัวใจเราล่ะ เวลาเราไม่มีวัตรปฏิบัติ คือหัวใจเราเร่ร่อน ถ้าหัวใจเราเร่ร่อนมันทุกข์ไหม ถ้าหัวใจมันเร่รอนมันทุกข์ขึ้นมานี่ เราจะเอาอะไรเป็นที่พึ่ง ถ้ามีที่พึ่ง เรามีข้อวัตรปฏิบัติขึ้นมา ถ้ามีวัตรปฏิบัตินี่หัวใจมันมีที่พึ่ง ถ้าหัวใจมีที่พึ่งมันมีสติปัญญาของมันนะ ถ้าสติปัญญาไม่มี สิ่งที่เราทำกิเลสมันจะเอามาอ้างอิงหมด เพราะนี่เป็นความลำบาก ทุกอย่างเป็นความลำบากลำบนหมดเลย

แล้วในปัจจุบัน แล้วคนเสนอทฤษฎีว่า ทำอะไรก็ได้ให้มันสะดวกสบาย คนไหลไปเลยนะ ในทฤษฏี ในสายประพฤติปฏิบัติขึ้นมา มันก็มีหลายแนวทาง แต่เดิมธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามาจากองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าองค์เดียว

เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นผู้แสดงธรรม ปัญวัคคีย์ พระยสะเห็นไหม ๖๐ องค์ “เธอทั้งหลายกับเรา เป็นผู้พ้นจากบ่วงที่เป็นโลกและเป็นทิพย์ เธอจงไปอย่าซ้อนทางกันโลกนี้เร่าร้อนนัก เขาต้องการความพึ่งพาอาศัย” เวลาเผยแผ่ธรรม เผยแผ่ออกจากองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า มันก็เป็นทางเดียวกันทั้งนั้นแหละ

แต่เวลาประพฤติปฏิบัติไปแล้ว เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าวางธรรมและวินัยไว้ พระจุนทะเป็นคนถามเอง ถามว่า “ลัทธิต่างๆ เวลาศาสดาตายไปแล้ว สาวก สาวกะของเขามีปัญหามากเลย” ถามองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าว่า “ทำไมถึงเป็นอย่างนั้น แล้วจะให้มั่นคงทำอย่างไร”

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกว่า “ต้องมีวินัย” พระจุนทะจึงให้พระพุทธเจ้าบัญญัติวินัย พระพุทธเจ้าบอกว่า “บัญญัติไม่ได้” คนที่เป็นธรรม มีหลักมีเกณฑ์ เราจะไปสร้างรูปแบบอะไรขึ้นมาเข้ามาครอบงำใครไม่ได้หรอก แต่พอเวลาพระประพฤติปฏิบัติผิดพลาดขึ้นมา องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสธรรมวินัยไว้ไหม

แล้วถึงที่สุด องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเพื่อแสดงศักยภาพของพุทธศาสนา ตั้งเอตทัคคะ ๘๐ องค์ เป็นเลิศกันทางละอย่าง เลิศทางปัญญา เลิศทางฤทธิ์ เลิศทางรัตตัญญู ราตรีนานต่างๆ มีความเลิศกันคนละอย่าง คนละอย่าง แต่ใครเป็นคนแต่งตั้งล่ะ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นผู้แต่งตั้ง

นี่ก็เหมือนกัน การประพฤติปฏิบัติในปัจจุบัน ส่วนใหญ่แล้วครูบาอาจารย์เรานี่ ถ้าในสายวัดป่าเรา มันก็มาจากหลวงปู่มั่น หลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่นเป็นผู้สอน เรายึดหลักหลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่นเป็นที่ตั้ง หลวงปู่มั่นสอน พุทโธ พุทโธ เห็นไหม ศีล สมาธิ ปัญญา

เวลาสอนแต่ละองค์ก็ไม่เหมือนกันนะ เวลาสอนหลวงปู่ชอบเป็นอีกอย่างหนึ่ง สอนครูบาอาจารย์แต่ละองค์เป็นอย่างหนึ่งๆ มันดูที่จริตนิสัย แต่ว่าคำว่าอย่างหนึ่ง อย่างหนึ่ง มันไม่ใช่ปฏิบัติแต่ละแนวทางๆ มันเป็นการปฏิบัติให้ตรงต่อธรรมในหัวใจของผู้ที่ประพฤตินั้น

คนที่ประพฤติปฏิบัติ ดูสิ เราบวชเป็นพระเป็นเจ้า โลกนี้ร้อน เราเห็นความร้อนของโลก เราสละมาเป็นสมณะ ชี พราหมณ์ เป็นนักพรต เป็นผู้ที่ประพฤติปฏิบัติ สิ่งนี้มันเป็นความตั้งใจจงใจของเรา พอตั้งใจจงใจของเรา เราประพฤติปฏิบัติของเราขึ้นมา เราพยายามตั้งของเราขึ้นมา เราพยายามฝึกปฏิบัติของเราขึ้นมา ตั้งสติของเรามา ทำความสงบของใจขึ้นมา ให้เกิดปัญญาขึ้นมา แต่ละองค์ที่ปฏิบัติมาไม่มีทางเหมือนกันเลย ! มันจะไปแตกต่างกันเพราะอะไร เพราะสิ่งที่ตอบสนองคือพันธุกรรมทางจิต จิตของเรามันสร้างบุญกรรมมาแตกต่างกัน

ดูสิ ผู้ที่มีอิทธิบาท ๔ จะอยู่อีกกัปหนึ่งก็อยู่ได้ อิทธิบาท ๔ เห็นไหม ก็คือ เมตตา กรุณา จิตตะ วิมังสา ต่างๆ ที่ว่าอิทธิบาท ๔ พออิทธิบาท ๔ เราก็คิดได้ เราก็ท่องได้ เราก็มีอิทธิบาท ๔ เราอยู่ได้ ไม่มีทาง ! ผู้ที่เห็นอิทธิบาท ๔ ได้เห็นไหม เพราะต้องเห็นตัวจิต ต้องชำระล้างจิต เพราะอิทธิบาท ๔ มันเกิดจากตัวจิตนั้น จิตตะ วิมังสา การดูแล การรักษามัน

ถ้าการดูแลรักษามันเพราะอะไร เพราะดูแลรักษามันด้วยธรรม แต่ในปัจจุบันของเรานี่ เราท่องจำ อิทธิบาท ๔ เราก็รู้ ศีล สมาธิ ปัญญา เราก็รู้ สิ่งนี้เป็นการท่องจำมา พอการท่องจำมา มันไม่มีตัวจริง ดูสิ ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ตายไปแล้ว ตายไปแล้วนะ.. ธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอยู่ในใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะปรินิพพาน พระอานนท์ถามองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเลยว่า “องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าปรินิพพานไปแล้วนี่ สาวก สาวกะ รุ่นหลังจะเอาอะไรเป็นที่พึ่ง” องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกว่า “ธรรมวินัยที่เราตรัสไว้แล้วเป็นที่พึ่ง” ธรรมและวินัยที่ตรัสไว้แล้วเป็นที่พึ่ง อันนี้เป็นกิริยา

หลวงตาท่านบอกเลยว่า “พระไตรปิฎกเป็นกิริยาของธรรม เพราะตัวธรรมจริงๆ มันอยู่ในหัวใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า” ตัวธรรม ตัวสัจจะความจริง แต่สิ่งที่แสดงออกมาเป็นประสบการณ์ เป็นสัจจะความจริงที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแสดงธรรมและวินัยไว้ เราก็ศึกษาธรรมวินัยไว้นี่ ศึกษาธรรมและวินัยมานี่ มันเป็นธรรมะที่ตายแล้ว เพราะอะไร เพราะมันไม่มีชีวิต

พระไตรปิฎกไม่มีชีวิตนะ ทฤษฏีมีชีวิตไหม มันมีความรู้สึกไหม.. มันไม่มีความรู้สึกอะไรเลย แต่คนที่ไปศึกษามัน เรามีความรู้สึก แล้วเราสร้างขึ้นมาจากใจของเรา เราสร้างขึ้น ถ้าธรรมะสร้างขึ้นนี่ผิดหมด สร้างขึ้น สร้างภาพ

แต่ที่เราปฏิบัติธรรม ธรรมะที่สร้างขึ้นมา ทำไมสร้างขึ้นมาได้ถูกล่ะ สร้างขึ้นมาสิ ถ้าเราไม่ฝึกฝน เราไม่ฝึกสติ สติมันจะมาได้อย่างไร ถ้าเราไม่ฝึกสมาธิ สมาธิจะมาได้อย่างไร ถ้าเราไม่ฝึกปัญญา แต่คนที่เขามีบารมีเห็นไหม วุฒิภาวะของจิตมันแตกต่าง มันหลากหลาย พันธุกรรมของจิต

ถ้าพันธุกรรมทางจิตทำไมคนมันมีเชาว์ปัญญาล่ะ เชาว์ปัญญาจะมีมากหรือมีน้อยขนาดไหน มันเป็นเรื่องของโลกียปัญญา โดยธรรมชาติของจิต โดยธรรมชาติของความรู้สึก มีสติ มีสมาธิทุกคน แต่เป็นสมาธิของโลกียปัญญา เป็นสมาธิของโลก ถ้าเราขาดสติเราเหมือนคนบ้า เราบ้าไปแล้ว เราอยู่โรงพยาบาลศรีธัญญาไปแล้ว

แต่นี่เรามีสติไหม.. มี เราควบคุมจิตใจเราได้ไหม.. มี แต่สติปัญญาอย่างนี้ มันเป็นสติปัญญาอย่างโลก ที่จะค้นธรรมวินัยที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าวางธรรมและวินัยไว้ไง “เธอจงมีธรรมวินัยเป็นที่พึ่งเถิด” เป็นศาสดาแทนทุกองค์ที่ประพฤติปฏิบัติขึ้นมา แต่ที่มันตายๆ เพราะอะไร เพราะมันไม่มีชีวิต มันบอกเราไม่ได้ มันพูดกับเราไม่ได้

แต่เวลาธรรมมันไปสถิตอยู่ในหัวใจของหลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่น ท่านสอนท่านรู้เพราะอะไร เพราะประสบการณ์ของท่านมี ทำอย่างไร เวลาใช้สติปัญญาอย่างนี้ พิจารณาอย่างนี้มันเป็นเรื่องโลก หลวงปู่มั่นเวลาจิตสงบพิจารณากายแล้วพิจารณากายเล่า ท่านบอกว่า ออกมาแล้วปกตินี่ ทำไมมันเหมือนปกติ มันไม่มีอะไรดีขึ้นมาเลย มันไม่มีอะไรดีขึ้นมาเลย ! พิจารณาซ้ำพิจารณาซาก

ไปปรึกษาหลวงปู่เสาร์ ไปปรึกษาต่างๆ นะ หลวงปู่เสาร์บอกว่า “ท่านมีความรู้มาก ท่านต้องแก้ที่ตัวท่านเอง” หลวงปู่มั่นพิจารณาถึงที่สุด “อ๋อ.. เพราะปรารถนาพระโพธิสัตว์ไว้” นี่ลาพระโพธิสัตว์ พอลาพระโพธิสัตว์เสร็จแล้วนี่ เวลาทำจิตสงบ พิจารณากายเหมือนกัน ทำไมมันทะลุทะลวงล่ะ ทำไมมันมีแตกต่างล่ะ โอ้.. อย่างนี้ใช่ ! อย่างนี้ใช่ ! พออย่างนี้ใช่ มันพิจารณากายไป มันแยกมันแยะอย่างไร มันปล่อยวางอย่างไร นี่มันแตกต่าง

คำว่าโลกียปัญญา สิ่งที่เป็นสติปัญญาที่เรามีอยู่แล้ว แล้วเราไปศึกษาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เราก็ว่าเรารู้ เราก็ว่าเราเห็น มันเป็นสิ่งที่มหัศจรรย์ โอ้โฮ.. จิตนี้มันมหัศจรรย์ โอ้โฮ.. มันเวิ้งว้าง สิ่งต่างๆ นี้มันสร้างภาพได้ทั้งนั้น มันจะเวิ้งว้างขนาดไหน จิตสงบเข้าไปเห็นแสงสว่าง เห็นนิมิต เห็นต่างๆ

สิ่งต่างๆ เกิดจากจิต จิตมันรู้มันเห็น ถ้าจิตไม่สงบขึ้นมาจะเห็นอย่างไร เราจะบอกว่า ถ้าเราศึกษาด้วยสติปัญญาของเรามันก็เป็นสุตมยปัญญา จิตมันสงบเข้ามานี่มันมีจินตนาการ จริงบ้าง เท็จบ้าง เห็นนิมิตหรือความรู้ต่างๆ มันจริงบ้าง เท็จบ้างเพราะอะไร เพราะถ้ามันเป็นความจริง แต่เรากลับไม่รู้ เพราะจิตเราไม่รู้เพราะจิตเรามีอวิชชาครอบงำ เห็นนิมิตจริงๆ นี่แหละ ความเป็นจริงนี่แหละ เห็นแล้วนี่อะไร ตกใจ งงไปอย่างนั้นล่ะ

แต่ถ้ามันเป็นความปลอมนะ พอเห็นเข้าไป ดูสิ สังเกตได้ คนฝันเห็นไหม ถ้าคนฝันไม่มีสติปัญญา วันฝันไปนี่ โอ้โฮ.. มันจำได้ชัดเจนเลย แต่ถ้าเป็นความจริงนะ เบลอนะ เห็นภาพชัดเลยนะ มันฝังใจนะ แต่ตีค่าไม่ออก เพราะความจริงกับความจำแตกต่างกัน

เวลามันเป็นจินตมยปัญญา ถ้าจิตมันสงบแล้วมันเห็นแตกต่างกันไป แต่ถ้าพอจิตมันสงบแล้วจินตมยปัญญา มันเกิดภาวนามยปัญญา ถ้าภาวนามยปัญญาเพราะจิตมันสงบแล้ว พอสงบมันออกรู้ในกาย ในเวทนา ในจิต ในธรรมโดยอริยสัจ ถ้าจิตมันสงบวิปัสสนาญาณที่มันจะเกิดขึ้นมานี่โลกุตตรธรรม ภาวนามยปัญญามันเป็นอีกชั้นหนึ่ง

พอเป็นอีกชั้นหนึ่งเวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมขึ้นมา จะสอนใครได้หนอ.. จะสอนใครได้หนอ.. เพราะปัญญาแต่ละขั้นตอนที่มันจะลึกซึ้งไปถึงสู่ฐีติจิต ถึงเข้าไปสู่ที่ชำระกิเลส มันเป็นปัญญาที่ลึกซึ้ง มันเป็นปัญญาที่มันเป็นจริงขึ้นมา แล้วความจริงมันเป็นสันทิฏฐิโก มันเป็นปัจจัตตังกับทุกๆ...

ถ้าปัจจัตตังกับทุกๆ คนที่ประพฤติปฏิบัตินะ ถ้าคนที่ประพฤติปฏิบัติเป็นโสดาบันก็ต้องเป็นโสดาบันเหมือนกัน จะปฏิบัติแนวทางไหน กาย จิต ธรรม พิจารณาอริยสัจแตกต่างกันอย่างไร แต่ผลมันเหมือนกัน ! ผลไม่มีแตกต่างกันเลย !

เวลาเราบวชเห็นไหม เราบวชมาจากแต่ละจังหวัด จากแต่ละภาคเห็นไหม แต่บวชกับธรรมและวินัยขึ้นมา เราเป็นพระเหมือนกัน จะบวชจากโบสถ์ไหนก็แล้วแต่ จะบวชมาเป็นพระก็คือพระ

นี่ก็เหมือนกัน ถ้าอริยสัจมันเกิดขึ้นมา มันเป็นความจริงก็คือความจริง แล้วเป็นความจริงทำไมมันพูดคุยกันไม่ได้ ถ้าเป็นความจริงมันพูดคุยกันได้ ถ้าความพูดคุยกันนั้นเห็นไหม สัจจะมันต้องลงอันเดียวกัน อริยสัจมีหนึ่งเดียว อริยสัจไม่มีแตกต่าง ไม่มีหลากหลาย ถ้าเป็นอริยสัจมีหนึ่งเดียวเห็นไหม

ถ้ามันเป็นภาวนามยปัญญาเกิดขึ้นมา มันจะเป็นความลึกลับมหัศจรรย์ ตื่นเต้นมาก ! แต่ไม่ใช่ภาวนามยปัญญาจากที่เราคิดจินตนาการเอง การคิดจินตนาการเองขึ้นมา มันผิดพลาดได้ ถ้าจิตมันดี มันก็จะพูดได้ลึกซึ้งมาก แต่คำพูดอย่างนี้ คำพูดที่ลึกซึ้งนี่ พอพูดครั้งต่อๆ ไปมันจะไม่เหมือนกัน

แต่ถ้าเป็นสัจธรรม ! พูดร้อยหน พันหน หมื่นหน ดูสิ เวลาเป็นความจริงที่พูดออกมาจากใจ ดูสิ เวลาหลวงตาท่านจะอธิบายถึงว่า ท่านพูดถึงว่า เวลาท่านประพฤติปฏิบัติจะพูดอย่างไร กี่ร้อยหน พันหน ก็อันเดียวกัน แต่ทางโลกฟังดูแล้วมันเป็นเรื่องซ้ำซากนะ แต่ถ้ามันเป็นเรื่องโลกพูดนะ มันจะคลาดเคลื่อน มันจะไม่เป็นความจริง อันนั้นเป็นความจำ

ถ้าความจริงมีหนึ่งเดียว เวลาสัจธรรมมันเคลื่อน เวลามันแสดงตัวนะ ธรรมจักรเห็นไหม ดูสิ เราว่าธรรมจักร.. ธรรมจักร.. ธรรมจักรเราก็สร้างรูปเคารพกัน เป็นหินแกรนิตแกะเป็นธรรมจักรนั้นเขาเอาไว้ให้หมาเยี่ยว แต่ถ้าธรรมจักรเกิดจากเรานะ ปัญญาเกิดจากเรานะ ธรรมจักรมันเกิด ภาวนามยปัญญามันหมุน ถ้าจักรมันหมุน มันหมุนอย่างไร นี่ปัญญาอย่างนี้ภาวนามยปัญญา เวลาจักรมันหมุนนะ ศีล สมาธิ ปัญญา ปัญญาเกิดจากสมาธิ

สมาธิเกิดจากอะไร สมาธิเกิดจากจิต ทุกอย่างเกิดจากจิตหมด สมาธิต้องเกิดจากจิต สมาธิที่ตายแล้ว สมาธิคือ ส. เสือ ม.ม้า สระอา ธ.ธง สระอิ นั้นคือสมาธิที่ตายแล้ว สมาธิที่มีชีวิตชีวาคือสมาธิที่เกิดมาในปัจจุบันนี้ แล้วสมาธิที่มีชีวิตขึ้นมา มันเกิดตาย เกิดตาย ทำสมาธิขึ้นมานี่ โอ้.. จิตแจ่มใสมากเลย เวลามันเสื่อมไปนะ โอ้โฮ.. เศร้าหมองมากเลย เห็นไหม สิ่งที่มีชีวิตมันเกิดได้ตายได้ สมาธิที่มันตายแล้วคือชื่อมัน สมาธิที่มีชีวิตชีวาขึ้นมาคือสมาธิที่เกิดในปัจจุบันเรา

สติ สมาธิ เกิดจากจิต เวลาเกิดจากจิต เวลาจิตมันสงบแล้ว เวลาปัญญามันออกก้าวเดิน มันเดินในอะไร มันเดินในกาย ในเวทนา ในจิต ในธรรม สภาวธรรมนะ ที่เป็นสภาวธรรม สภาวธรรมนี่ สมมุติทั้งนั้นล่ะ

สภาวธรรมคือการกระทบของจิต จิตกับอารมณ์ จิต อาการของจิต จิตกับขันธ์ มันกระทบกระเทือนกัน เป็นธรรมเพราะอะไร เป็นธรรมเพราะมันมีสมาธิ ถ้าไม่เป็นธรรม เราก็คิดได้ จิตคือความรู้สึก ความคิดเราเกิดได้แต่เป็นโลก เป็นโลกเพราะอะไร เพราะจิตมันไม่สงบ พอจิตไม่สงบ อวิชชาครอบงำมันหมด มันก็คิดได้เหมือนกัน แต่คิดได้โดยการสร้างภาพ คิดได้โดยจินตนาการ คิดได้เหมือนกัน !

แต่ถ้าจิตมันสงบปั๊บนะ มันสงบโดยตัวมันเอง พอสงบโดยตัวมันเอง มันอวิชชา เพราะจิตสงบคืออวิชชา มันเหมือนหินทับหญ้า ถ้าจิตสงบไม่ได้เพราะอะไร เพราะกิเลส หญ้ามันงอกงามมาก แต่ถ้าเรา พุทโธ พุทโธ พุทโธ เราถากถางหญ้าจนสงบหมด มันไม่มีอวิชชา

พอไม่มีอวิชชา จิตนี้เป็นสากล จิตนี้เป็นพลังงานที่เป็นสัจจะ สัจจะเป็นสัมมาสมาธิ พอสัมมาสมาธิ มันออกรู้ในกาย เวทนา จิต ธรรม มันมีการสั่นไหวของฐีติจิต มันมีการสั่นไหวกับภพเลย ภพมันสั่นไหวเพราะอะไร เพราะว่าอวิชชาที่มันอยู่กับจิต มันเป็นสมาธิขึ้นมานี่ มันมีเชื้อของมันอยู่

มีเชื้อคืออะไร มีเชื้อคืออีโก้ไง คือความเข้าข้างตัวเองไง มันเป็นอย่างนั้น.. มันเป็นอย่างนั้น.. มันมีรากฐานของมัน แต่พอจิตมันสงบขึ้นมานี่ สิ่งที่มันรู้มันเห็นไม่รู้ เพราะสิ่งที่เข้าข้างตัวเอง สิ่งที่เป็นนันทิ ราคะ สิ่งที่เป็นสมุทัย มันคาดหมายธรรมนะ ธรรมจะเป็นอย่างนั้น ดูพระพุทธเจ้าเทศน์ไว้นี่ มันเป็นอย่างนั้น อูย.. นิพพานว่าง ว่างคู่กับไม่ว่าง !

สิ่งต่างๆ ที่พูดออกมาผิดหมด ! อ้าปากคือผิดหมดล่ะ เพราะอ้าปาก เพราะมันมีตัวตนของมันใช่ไหม แต่เป็นสัมมาสมาธิ.. สัมมาสมาธิไม่ใช่นิพพาน สัมมาสมาธิคือจิตตั้งมั่น ถ้าจิตตั้งมั่นมันออกวิปัสสนาญาณของมัน วิปัสสนาญาณมันแก้ไขตัวของมันเอง แก้ไขตัวของมันเอง ! ตัวเองนี่เป็นยางเหนียว เวลาความคิดเกิดขึ้นมาโดยสามัญสำนึกของมนุษย์ มนุษย์ก็มีความคิดอยู่แล้ว มีความคิด พลังงาน มันคิดด้วยยางเหนียว มันคิดด้วยกลมกลืนเป็นอารมณ์เดียวกัน

แต่เวลาจิตสงบเข้ามา แยกออกมา พอแยกออกมาสัมมาสมาธิ แล้วมันออกทำงาน ก็กาย เวทนา จิต ธรรม เหมือนกัน กาย เวทนา จิต ธรรม ธรรมารมณ์ ความกระทบ มันก็เป็นธรรมเหมือนกัน แต่เพราะมีสมาธิไง เพราะมันมีหลักตั้งมั่นของใจไง พอมีหลักตั้งมั่นขึ้นมา มันมีอาการกระทำของมัน พอมีอาการกระทำของมันจะลึกซึ้ง มันจะมีปัจจัตตัง มันจะมีสันทิฏฐิโก มันจะมีการกระทำของมันเห็นไหม นี่ไง ภาวนามยปัญญาเกิดอย่างนี้

ถ้าภาวนามยปัญญาเกิดอย่างนี้ มันเป็นเป้าหมายของเราไง เราบวชขึ้นมา งานของพระคืองาน เกสา โลมา นขา ทันตา ตโจ เวลาเราบวชแล้ว ดูสิ บวชแล้วไม่มีการศึกษา พระป่ามันจะโง่เง่า ... จะโง่เง่าเต่าตุ่นขนาดไหนนะ เวลาอุปัชฌาย์ให้กรรมฐาน ๕ เกสา โลมา นขา ทันตา ตโจ ถ้าใครแทงทะลุสิ่งนี้ได้ จิตจะมีอิสรภาพมาก

แต่เวลาไปศึกษาทางวิชาการ ไปศึกษาธรรมะที่ตายแล้วไง ไปศึกษาทางพระไตรปิฎก ยิ่งศึกษายิ่งโง่ ศึกษาแล้วงง ยิ่งศึกษายิ่งงงนะ แต่ถ้าเราใช้ปัญญาของเราทิ่มแทง เกสา โลมา นขา ทันตา ตโจ เราทิ่มแทงไป มันทะลุได้ ถ้าเราผ่านเกสา โลมา นขา ทันตา ตโจ นี่คืองานของพระ ! ในปริยัติ ในปฏิบัติเห็นไหม งานของเรา เราเป็นฝ่ายปฏิบัติ ฝ่ายวิปัสสนาธุระ ถ้าเราทำของเรา เราเข้าใจของเรา มันลึกซึ้งแตกต่าง

แต่ในปริยัติเห็นไหม ใช่ ! ในเมื่อสังคมสงฆ์ พระเราอยู่กับโลก โลกเป็นอย่างนั้น เราบวชเป็นพระแล้ว คันถธุระก็ต้องมีฝ่ายปกครอง มีการเข้าใจในพุทธศาสนา พุทธศาสนาเอาไว้พูดกันปากเปียกปากแฉะ เวลาสัมมนาไง เวลามีแขกเหรื่อมาไง มันมีลัทธิศาสนาต่างๆ มา เราจะปฏิสันถารกัน

พระพุทธเจ้าสอนอะไร พระพุทธเจ้าสอนอริยสัจ ทุกข์ สมุทัย นิโรธ ทุกข์ ทุกข์คืออะไร ทุกข์ก็คือจินตนาการว่าไปเป็นคุ้งเป็นแคว หลวงตาท่านบอกเลย “กิเลสมันมา มันก็ขี้ใส่หัวใจ มันไปแล้วนะ เราก็ทุกข์.. ทุกข์..” ไม่เห็นน่ะ ! ไม่รู้จักมัน ทุกข์ควรกำหนด สมุทัยควรละ แล้วทุกข์มันเป็นอย่างไร

ที่เราบ่นกันทุกข์.. ทุกข์นี่ มันเป็นอาการของทุกข์ เป็นผลเป็นวิบากของทุกข์ เพราะอะไร เพราะเราคิดเรื่องไม่พอใจ สิ่งที่เป็นอารมณ์ไม่พอใจเกิดขึ้นมา เราเสียใจ เราคิดเรื่องไม่พอใจเป็นทุกข์ไหม แต่เราไม่ทุกข์นะ กิเลสมาจะขี้รดใจ พอมันขี้เสร็จ ก็คิดเรื่องที่ไม่พอใจ พอมันขี้เสร็จแล้วอารมณ์มันเกิดใช่ไหม โอย.. ทุกข์มากเลย แล้วมันจะไปรู้ทุกข์ได้อย่างไร จะไปเห็นทุกข์ได้อย่างไร มันไม่เห็นหรอก เพราะจิตมันไม่สงบ

แต่ถ้าจิตมันสงบในการประพฤติปฏิบัติของเรา จิตมันสงบแล้ว กิเลสมันอยู่ไหน เวลามันมา มันมาจากไหน แล้วมันจะไปขี้ใส่ใคร มันถีบไปก่อน มันไม่ให้ขี้ ถ้ามันขี้ขึ้นมามันก็จะให้อารมณ์เราใช่ไหม เรารู้ทันหมดไง พอรู้ทันหมด เราใช้ปัญญาของเราใคร่ครวญของเราขึ้นมา

กสา โลมา นขา ทันตา ตโจ เขาบอกว่า พระปฏิบัติจะโง่เง่าเต่าตุ่น ว่าไม่มีการศึกษา ถ้ามันมีการศึกษาโดยภาคปฏิบัติ การปฏิบัติรู้จริงเห็นไหม นี่สิ่งนี้องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมขึ้นมา ธรรมะที่มีชีวิต ธรรมะที่มีศักยภาพ มันอยู่ที่ใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ธรรมและวินัยนี้มันเป็นธรรมะที่ตายแล้ว เราไปศึกษาเรื่องตายแล้ว เพราะตายแล้วมันเถียงเราไม่ได้นะ โอ้โฮ.. เก่งมาก เห็นจินตนาการไปได้หมดทุกเรื่องเลย แต่ของจริงไม่เคยเห็น

เพราะของจริงน่ะ ดูสิ จับขโมยเห็นไหม ชื่อนาย ก. ไปปล้นมา โอ้โฮ ชื่อนาย ก.นี่จะจับที่นั่น ที่นั่น โอ้โฮ.. ทำเป็นวิชาการหมดเลย แต่เวลาเข้าไปหาโจรมันเป็น นาย ก. มันถือปืนไว้นะ มันยิงแสกหน้าเลย จะไปจับมัน ตายคาที่ ไม่ได้จับมันเลย

นี่ก็เหมือนกัน เวลาจะต่อสู้กับกิเลส เห็นไหม ดูสิ เวลาเราประพฤติปฏิบัติ เรานั่งกันนี่ เราจะเข้าไปหามัน มันถีบหงายท้องเลย นั่งสมาธิก็ไม่ไหว เดินจงกรมก็เหนื่อย ปฏิบัติไปแล้วเมื่อไรมันจะได้ผล กิเลสมันยิงแสกหน้าแล้ว ! ถ้าต่อสู้กับมันน่ะ

แต่ถ้าเป็นธรรมะที่ตายแล้วนะ โอ้โฮ.. มันจินตนการเลย เดินจงกรม ๕๐ ชั่วโมง มันจะมีผลตอบสนองมาขนาดนี้ ใช้ปัญญาไป ๕๐๐ รอบ มันจะเกิดทางวิชาการ มันว่าของมันไป เห็นไหม ธรรมะที่ตายแล้ว !

ธรรมะที่เป็นจริงของเรา เราจะพูดให้มีกำลังใจว่า เราประพฤติปฏิบัติขึ้นมา เพื่อผลตอบสนองกับใจของเรา ถ้าใจของเราได้สัมผัส ธรรมะมีอยู่โดยดั้งเดิม องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไปตักตวงมรรคผลมาจากไหน องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านั่งตรัสรู้อยู่โคนต้นโพธิ์ โคนต้นโพธิ์นะ.. นั่งอยู่องค์เดียว แล้วใช้ปัญญาใคร่ครวญเข้าไปในจิตขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ถอดถอนอวิชชา ถอดถอนปฐมยาม บุพเพนิวาสานุสติญาณ นั่งอยู่ในภาคปฏิบัติ ไม่มีตำรา ไม่มีสิ่งใดทั้งสิ้น มีแต่บุญญาธิการ มีแต่สิ่งที่สร้างสมบุญญาธิการมา อานาปานสติ ปฐมยามเห็นไหม

บุพเพนิวาสานุสติญาณ เวลาจิตมันสงบเข้าไป ข้อมูลของจิต บุพเพนิวาสานุสติญาณ ตั้งแต่อดีตชาติ ตั้งแต่พระเวสสันดรไปเรื่อยๆๆๆ.. ไปไม่มีวันจบ ไม่มีวันจบ ดึงกลับมาเห็นไหม พอดึงกลับมา ถ้าไม่มีวันจบต้องใช้เวลาเท่าไหร่

ถ้าใช้คอมพิวเตอร์นะ ถ้าเข้า-ออกได้ไว มันใช้เวลากี่วินาที แต่ความเห็นของจิตเร็วกว่านั้นอีก จะบอกว่าสิ่งที่ว่าไปไม่มีต้นไม่มีปลาย ไม่มีวันจบมันยาวไกลมหาศาลนัก ๔ อสงไขย ๘ อสงไขย ๑๖ อสงไขย นี่การเกิดและการตาย ชักกลับมาที่สติปัญญา

พอจิตเข้าสู่ฐานของฐีติจิต เข้าสู่จิตเดิมแท้ เพียงแค่นี้เพราะอะไร เพราะอำนาจวาสนาของจิต จิตมันต้องมีการเกิดการตายสิ แล้วมันสร้างบุญญาธิการของมันมา พอจิตมีการเกิดการตาย จิตมันก็สร้างทับถมกันมาเรื่องบุญญาธิการ สาวไปอดีตชาติ ด้วยการสร้างพระเวสสันดร ๑๐ ชาติ ทศชาติเห็นหมดเลย รู้หมดเลย อ๋อ บุญญาธิการอย่างนี้มา

อ๋อ.. อ๋อ.. นี่เรื่องของวัฏฏะนะ เวลาไม่ตายขึ้นมา มันเป็นแรงขับที่สร้างบุญมา มันไปจุตูปปาตญาณ มันยังไปเกิดต่อ ถ้าไปเกิดต่อ ถ้าไม่ได้ตรัสรู้เป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เจ้าชายสิทธัตถะจะต้องไปเกิดต่อไปอีก

ทีนี้องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าถ้าไม่ไปเกิดก็ดึงกลับมาในปัจจุบัน อาสวักขยญาณทำลายกิเลสอวิชชาในหัวใจทั้งหมด สิ่งนี้มันมาจากไหน มันมาจากองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอยู่ที่โคนต้นโพธิ์ รื้อค้นขึ้นมาในหัวใจของเรา

ในภาคปฏิบัติเห็นไหม ตำรานะ สาธุ พระไตรปิฎก.. ปริยัติมีการศึกษาเรื่องทางวิชาการ เพื่อตอบสนองในสังคม เดี๋ยวนี้เห็นไหม ดูสิ ศาสนาพุทธเป็นศาสนาแห่งปัญญา ศาสนาพุทธเป็นศาสนาแห่งเหตุผล ทางวิทยาศาสตร์ ทางวิชาการเขาต้องศึกษากัน ค้นคว้ากัน.. ค้นคว้าตีความ เอาบาลีแล้วก็ไปตีความขยายความกัน บาลีน่ะเป็นธรรมะที่ตายแล้ว เอาของที่ตายแล้ว ดูสิ พืชพรรณธัญญาหารที่มันตายแล้ว เขาพยายามจะฟื้นมา เขาทำ ดีเอ็นเอ. ขึ้นมา เพื่อปลูกพืชชีวิตใหม่ขึ้นมา ตัดต่อพันธุกรรมให้มันเป็นไป นั่นมันเป็นทางโลก

แต่เราปฏิบัติกันมานี่ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ที่ไหน แล้วเราจะบรรลุธรรมกันที่ไหน เราจะประพฤติปฏิบัติกันอย่างไร ถ้าเราจะประพฤติปฏิบัติกัน หัวใจของเรานี่ ในฐานของจิตทำให้มันสงบเข้ามา แล้วรื้อค้นมันขึ้นมาเพื่อประโยชน์กับเรา

ถ้าประโยชน์กับเราเห็นไหม เกสา โลมา นขา ทันตา ตโจ มองข้ามไม่ได้ ทางวิชาการเห็นไหม โอย.. ต้องมีทฤษฏี มีวิชาการ โอ๊ย ปัญญาอบรมสมาธิ โอ๊ย ปัญญาจะรู้เท่า โอ๊ย ปัญญาญาณมันจะเกิด เกิดไปที่ไหนน่ะ แต่ถ้ามันจะเกิดขึ้นมา มันเป็นความจริงของมันขึ้นมา มันจะย้อนกลับมาที่เรา ถ้าย้อนกลับมาที่เรา เพราะที่เราที่ไหน ที่เราเพราะมันมีจิตไง ที่เราเพราะมีสัมมาสมาธิไง ถ้าไม่มีสัมมาสมาธิ ไม่มีที่เรา มันเป็นอาการนะ

ดูสิ เห็นไหม เงามันเกิดจากอะไร เงามันเกิดจากจิตของเรา เงามันเกิดจากวัตถุมันถึงมีเงา ถ้ามันมีวัตถุมันถึงมีเงา ถ้ามันไม่มีจิตมันจะมีความคิดได้อย่างไร ความคิดความนึกทั้งหมด มันเกิดจากฐีติจิตทั้งหมดเลย แต่เราไปเห็นความคิดความนึกกัน เราเห็นอารมณ์ความรู้สึกกัน แต่เราไม่เห็นจิต ไม่เห็นจิต !

ถ้าเห็นจิตนะเราใช้คำบริกรรม หรือปัญญาอบรมสมาธิ ถ้ามันปล่อยเข้ามา มันเลาะตั้งแต่เงาของมันเข้ามาไปถึงตัวของมันเอง จากเงาเข้ามามันไม่เอาเงา มันจะไปเอาตัววัตถุเลย เงานี้เกิดได้อย่างไร เงานี้มาจากไหน ตามเงามันเข้ามา มันจะอยู่ที่ไหน ถ้าไม่มีวัตถุเงาเกิดได้อย่างไร

ถ้าพอมันถึงวัตถุปั๊บ มันเป็นหนึ่งเดียว พุทโธๆๆ จนพุทโธไม่ได้แล้ว ฮึ๊.. ฮึ๊.. ฮึ๊.. แต่ถ้ายัง พุทโธอยู่ พุทโธคืออาการ คือความคิด ความคิดเกิดจากจิต พุทโธเกิดจากจิต ไม่ใช่จิต พุทโธๆ นี่ พุทโธนึกเอาทั้งนั้นล่ะ พุทโธๆๆๆๆๆ พุทโธ แต่ให้เข้มแข็ง ให้จริงจัง พุทโธไปนี่เพราะอะไร เพราะพลังงานมันส่งออก

ดูแสงมาจากพระอาทิตย์ นี่พยายามส่งออก วัตถุมันส่งพลังงานออกไป พุทโธๆๆ เป็นพุทธานุสติ พุทโธๆๆๆๆ นี่ไง จากเงามันจะเข้ามาใกล้ๆ มาถึงจิต พอมาถึงจิตเห็นไหม พุทโธไม่ได้ พอพุทโธไม่ได้มันก็เป็นหนึ่ง แต่ถ้าพุทโธๆๆ ยังคิดได้ ยังพูดได้ ไม่ใช่สมาธิ แต่ถ้าสมาธิจะ อึ๊ๆ พลังงานเฉยๆ ถ้าเข้าไปนี่มันเป็นความมหัศจรรย์

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้อยู่โคนต้นโพธิ์ เราจะรู้ธรรมได้ในขั้วหัวใจของเรานะ ปฏิสนธิจิตที่พาเกิดพาตายกันอยู่นี้ แล้วเราก็เกิดมากับโลก เราเกิดมาเป็นมนุษย์นี้เป็นโลกนะ แต่สิ่งนี้เป็นผลของวัฏฏะ พอผลของวัฏฏะเราเกิดมาแล้วเรามาพบพุทธศาสนา เรามีความเชื่อมั่นศรัทธาในพุทธศาสนา เราได้มาบวชกันเป็นพระเป็นเจ้า

พอบวชมาเป็นพระเป็นเจ้านี่เป็นนักรบ เป็นกองหน้า คฤหัสถ์เขาเป็นฝ่ายพลาธิการ เขาอยากได้บุญได้กุศลของเขา เขาจะส่งเสริมของเขา เราเป็นนักรบนะ เราเป็นผู้ที่จะเอาสัจจะเอาความจริง เราต้องมีความเข้มแข็ง เราต้องมีความจริงจัง เดินจงกรมนั่งสมาธิภาวนาเข้าไป มันต้องได้ ๗ วัน ๗ เดือน ๗ ปี นี่มันต้องถึง เพราะอะไร เพราะความทำต่อเนื่องของเรา เพราะความจริงจังของเรา เพราะความตั้งใจจริงของเรา

ถ้าเราไม่มีความต่อเนื่อง ไม่มีความตั้งใจจริงของเรา นับวันมีแต่อ่อนแอลงๆ เดินจงกรมนะใหม่ๆ เดินได้ ๓-๔ ชั่วโมง ต่อไปก็เหลือ ๒ ชั่วโมง เหลือชั่วโมงเดียว แล้วก็จะเดินไม่ไหว มันจะคลานไป นี่ไง เพราะอะไร เพราะมันอ่อนแอ

เราต้องปลุกปลอบใจของเรานะ เวลามันล้มลุกคลุกคลาน เราต้องสะบัดหน้า แล้วลุกขึ้นมา แล้วสู้กับมัน สู้กับความเฉา ความเศร้าหมอง ความที่มันอ่อนแอ ต้องลุกขึ้นมาด้วยสัจจะ ด้วยการกระตุ้นใจเราเอง เราจะต้องกระตุ้นนะ นี่ดูสิ อัตตา หิ อัตตโน นาโถ ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน ไปหาครูบาอาจารย์ ครูบาอาจารย์ก็เทศน์ให้ฟัง แต่ถ้าเราปลุกปลอบใจของเรา

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านก็เป็นมนุษย์นะ หลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่น ก็เป็นคนเหมือนเรานี่แหละ แต่ท่านมีความพยายามมุมานะบากบั่นของท่าน เราก็เป็นคนเป็นมนุษย์เหมือนกัน เราถึงต้องมีความมุมานะบากบั่น ทำได้ ถ้าเราทำได้ เราตั้งใจจริงของเรา เราเดินจงกรมของเรา ผลมันต้องเกิด น้ำหยดลงหินทุกวันหินมันยังกร่อน

นี่ก็เหมือนกัน สิ่งต่างๆ ที่มันเกิดขึ้นมา เรามีสติปัญญาของเราขึ้นมา เราทำของเราทุกวัน จิตมันต้องอยู่กับเราได้ ถ้าจิตของเราอยู่กับเราได้นะ ถ้าจิตมันสงบหลวงตาท่านบอกว่า “ถ้าจิตสงบนะ พออยู่พอกิน” จิตสงบมีความร่มเย็น ถ้ามีความร่มเย็นของเรานี่ให้เป็นสัมมาทิฏฐิ เป็นความจริง พอร่มเย็นขึ้นมานี่เรารักษา ต้องรักษาไว้ เพราะธรรมะที่มีชีวิตนี่ เวลากว่ามันเกิดขึ้นมาได้ แล้วมันจะทรงตัวอยู่ได้แค่ไหน

พระอัสสชิสอนพระสารีบุตร “ธรรมทั้งหลายมาแต่เหตุ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าให้ไปแก้ไขที่เหตุนั้น” สมาธิทั้งหลายมาจากสติ มาจากคำบริกรรม สมาธิทั้งหลายมาจากสติ มาจากปัญญาอบรมสมาธิ เหตุมันทำให้เกิดสมาธิ รักษาสมาธิอยู่มีแต่ความวิตกกังวล แต่สมาธิคือตัวสมาธิ แต่เราพยายามรักษาเหตุของเรา เราตั้งสติของเรา บริกรรมของเราไป สิ่งนี้รักษาเหตุมัน สมาธิมันจะอยู่กับเราตลอดไป เพราะเรามีเหตุให้มันเกิดผล

แต่ถ้ามันเป็นสมาธิเราก็ไปตื่นเต้น เรื่องธรรมดานะ คนปฏิบัตินี่เห็นอะไรก็ตื่นเต้นไป เป็นเรื่องธรรมดา เพราะอะไร เพราะสิ่งที่เราไม่เคยรู้ไม่เคยเห็น มันเป็นเรื่องความมหัศจรรย์ มหัศจรรย์จริงๆ แค่จิตสงบเป็นเรื่องมหัศจรรย์มาก

แต่เพราะสิ่งที่เขาคุยกัน เขาพูดกันว่า ปฏิบัติแล้วก็ไม่เห็นรู้อะไรเลย พอปฏิบัติแล้วมันก็ไม่เห็นมีความสุขอะไรเลย นั้นเพราะเขาได้มิจฉา เพราะเขาสร้างความว่าง เขาบอกว่าสิ่งนี้เป็นความว่าง พุทโธๆๆ แล้วก็นั่งหลับไปนะ มันขาดสติ ตกภวังค์ไปนะ โอ๋.. นึกว่าเป็นสมาธิ ถ้าเป็นสมาธิมันจะตื่นอยู่ตลอดเวลา จิตมันจะตื่นของมัน แล้วมันจะมีความอิ่มเอิบในใจของมัน มันจะมีความสุขของมัน ถ้าจิตได้พักจริงนะ !

แต่ที่ได้พูดๆ กันนั้นเพราะอะไร เพราะเขาไปศึกษาธรรมะที่ตายแล้ว มิจฉาสมาธิ สัมมาสมาธิ ก็ว่ากันไป แล้วก็จดกันมาว่างๆ เราก็ว่างๆ ท่านก็ว่างๆ ก็ว่างๆ อย่างนี้เนาะ นี่เป็นธรรมะ

ถ้าเป็นธรรมะอวกาศมันว่างกว่าเรา สิ่งต่างๆ ไง ที่ไหนมีรูปที่นั่นมีนาม ที่ไหนมีรูปไงที่นั่นต้องมีเงา ที่ไหนมีรูปที่นั่นต้องมีนาม มีนามเพราะอะไร เพราะมีรูปเห็นไหม มันมีนามของมัน มีความว่างของมัน มีอากาศของมัน มันกลิ้งตัวมันไป มันถึงเกิดอารมณ์ความรู้สึกไง

แต่ถ้าจิตเราสงบขึ้นมา สัมมาสมาธิก็เป็นรูป แล้วเงานะ พยายามชักเงาเข้ามาให้เงากับรูปเป็นอันเดียวกัน ถ้าเป็นอันเดียวกัน แล้วถ้าเกิดปัญญาขึ้นมา เกิดปัญญาเพราะมีสัมมาสมาธิแล้ว ใคร่ครวญของเรา เราทำของเรา มันจะซึ้ง มันจะตื่นเต้น แล้วพอไปศึกษาธรรมะที่ตายแล้วนะ เพราะอะไร เพราะธรรมะที่ตายแล้วนี่ มันเป็นทางวิชาการ

แต่เพราะคนที่ปฏิบัติแล้วมันมีชีวิตชีวา มันรู้จริง ข้อเท็จจริง พอมันไปศึกษาธรรมะที่ตายแล้ว เหมือนกับเอาชีวิตไปใส่ให้สิ่งไม่มีชีวิต เหมือนหุ่นน่ะ เราเอาชีวิตเข้าไปใส่ มันจะก้าวเดินของมันไป มันจะเข้าใจ ศึกษาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามันสุดยอดๆๆ สุดยอดเพราะอะไร สุดยอดเพราะมันซึ้งใจ มันกินใจ ทำไมองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพูดไว้ถูกหมดเลย ปฏิบัติขึ้นไปแล้วนะ แหม.. ไม่มีปัญญาของใครจะเท่ากับ...

อิทธิบาท ๔ พุทธวิสัย ทำไมปัญญาขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านี้กว้างขวาง ศึกษามา ปฏิบัติขึ้นมาแล้วเข้าไปศึกษา องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ารู้แล้วทั้งนั้น บอกไว้ทั้งนั้น ในพระไตรปิฎกบอกไว้หมดเลย แล้วถูกต้องดีงามเพราะมันเป็นความจริง เพราะเรามีความจริงของเราขึ้นมา พอเราไปศึกษาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จากสิ่งที่มีชีวิต ธรรมะจะมีชีวาขึ้นมา พูดออกมาจากใจไม่มีวันผิด !

แต่ธรรมะที่ตายแล้ว เพราะโดยอวิชชา โดยความเศร้า ความเหงาหงอย ความเหี่ยวเฉาของใจ ไปศึกษาแบกไว้ เต็มไว้ เหมือนคนบ้า คนบ้ามันเก็บสมบัติบ้าน่ะ มันแขวนไว้เต็มตัวมันเลย ไปไหนก็มีแต่สมบัติบ้า ! ไปศึกษาธรรมะพระพุทธเจ้ามา อู๊ย.. รู้ไปหมดเลย ธรรมะที่ตายแล้วเหมือนสมบัติบ้า เหมือนใบกระดาษแปะไว้เต็มตัวไปหมดเลย

“นี่หมายความว่าอย่างไร”

“ฮื่อ..พระพุทธเจ้าว่าอย่างนั้น”

“แล้วเราว่าอย่างไรล่ะ”

“ไม่รู้ ! พระพุทธเจ้าว่าไว้อย่างนั้นน่ะ”

มันเป็นสมบัติบ้า เพราะจิตมันไม่มีความจริง แต่เราประพฤติปฏิบัติของเราจนจิตเรามีความจริง มันมีชีวิตชีวาขึ้นมาแล้วนี่ ไปศึกษาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า นี่พุทธวิสัย

สิ่งนี้ปัญญาเราน่ะหางอึ่ง แล้วเวลาปฏิบัติไปแล้วมันซาบซึ้งนะ สมาธิมันเป็นแบบนี้ ขณิกสมาธิ อุปจารสมาธิ อัปปนาสมาธิ เวลาเกิดปัญญาๆ มันชำระล้างขึ้นไป เวลาปัญญาเราผ่านมาเห็นไหม เวลาพิจารณาไปแล้ว มันปล่อย.. มันปล่อย..

นี่ อ๋อ..พระพุทธเจ้าบอกว่า ในพระไตรปิฎก ตทังคปหานเป็นอย่างนี้เนาะ สมุจเฉทปหานมันเป็นอย่างนี้เนาะ ตทังคปหานปัญญาเกิดอย่างนี้

แต่ถ้าเราปฏิบัติยังไม่สิ้นสุดนะ นี่ตทังคปหานก็แก้กิเลสได้แล้ว ไม่ได้ ! ตทังคปหานเป็นระยะผ่านของการฝึกปัญญา พอปัญญามันพิจารณาของมันไป เป็นขั้นเป็นตอนขึ้นไป มันเป็นการฝึกปัญญาของมัน

แต่บทสรุปของมันเป็นสมุจเฉทปหานเพราะอะไร เพราะกิเลสมันขาดออกไป อ๋อ.. ตทังคปหานเป็นอย่างนี้เนาะ สมุจเฉทปหานเป็นอย่างนี้เนาะ มรรคสามัคคี มรรคญาณมันเกิดนะ ธรรมจักรมันหมุนๆ โอ๋ย..มันเข้าใจ มันซึ้ง มันรับรู้นะ นี่มันเกิดจริง ถ้ามันเป็นจริงขึ้นมาไปศึกษาแล้วนะ มันซาบซึ้ง !

ฉะนั้นจะบอกว่า เวลาพระปฏิบัติ ไม่ใช่ว่าไม่เคารพบูชาพระรัตนตรัย พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นผู้ตรัสรู้ธรรมจากโคนต้นโพธิ์ จากในหัวใจ ในฐีติจิต ในจิตขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้ววางธรรมและวินัยไว้ สิ่งที่วางธรรมคือกิริยาที่การกระทำที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามีประสบการณ์ มีความรู้ วางธรรมและวินัยไว้

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเวลากราบธรรม พระถามว่า

“องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้เองโดยชอบ แล้วทำไมมากราบอะไรอยู่นั่นน่ะ”

“เรากราบธรรม กราบธรรม” เห็นไหม สิ่งนั้นเป็นความจริง สิ่งที่ว่าเรากราบธรรม นี่ธรรมะมีอยู่โดยดั้งเดิม ธรรมะมันมีอยู่แล้ว แต่ถ้าผู้ที่เข้าถึงเห็นไหม

แต่ในปัจจุบันนี้หัวใจเราหลอกลวง ถ้าหัวใจเราหลอกลวง คือศึกษาธรรมะที่มีอยู่แล้ว มันก็เป็นความจอมปลอมเห็นไหม ถึงบอกว่า ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ปริยัติคือการศึกษาๆ มาเพื่อประพฤติปฏิบัติ ฉะนั้นเวลาเราประพฤติปฏิบัติขึ้นมานี่ มันจะมีหอกข้างแคร่ไง ว่าเราบวชแล้วไม่ศึกษา ไม่เล่าเรียน ไม่ทำอะไร

เรียน ! เรียนโดยประสบการณ์ เรียนโดยหัวใจ เรียนโดยความจริงที่เราทำอยู่นี่ เรียนจริงๆ รู้จริงๆ เป็นธรรมะจริงๆ ที่กับชีวิตของเรา เป็นปัจจัตตัง เป็นสันทิฏฐิโกในหัวใจของเรา เอวัง